วันอาทิตย์, 24 กันยายน 2566

"เชาว์" ซัด ก้าวไกล บิดเบือน อย่าให้ร้าย ศาล ปมคดี ม.112 "ชลธิชา"

เชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษก ปชป.แจงยิบ 5 ข้อ ซัด ก้าวไกล อย่าให้ร้าย “ศาล” กรณี คดี ม.112 “ชลธิชา” ว่าที่ ส.ส.ก้าวไกล ยัน ศาลทำไปตามกฎหมาย ซึ่ง คู่ความก็รู้อยู่ก่อนแล้ว แซะ อย่าบิดเบือนเพื่อหวังเป็นบันไดยกเลิก ม. 112 เลย วันที่ 3 มิ.ย. นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ทนายเชาว์ มีขวด ผมได้อ่านข่าวกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล ออกมาโจมตีศาล คดีที่นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดปทุมธานี จำเลยคดีมาตรา 112 กล่าวหาว่า ศาลสั่งสืบพยานโดยไม่มีทนายความ ทำลายความยุติธรรมด้วยน้ำมือของผู้พิพากษา ถึงชั้นจะปฏิรูปศาลเมื่อสภาเปิด แล้วไม่สบายใจ เพราะคนทั่วไป ที่ไม่มีความรู้เรื่องระบบการพิจารณาคดีของศาลได้ฟัง นายรังสิมันต์ โรม แล้วอาจหลงเชื่อคล้อยตามเข้าใจว่า ศาลโหดร้ายไม่ยุติธรรม ตามที่นายรังสิมันต์ โรม ต้องการบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม ในส่วนของอำนาจฝ่ายตุลาการ ซึ่งทำมาต่อเนื่อง นายรังสิมันต์ โรม อาจจะตบตาชาวบ้านให้หลงเชื่อคล้อยตามด้วยเจตนาแอบแฝงอะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่สามารถตบตา คนที่เข้าใจกระบวนการพิจารณาของศาลโดยเฉพาะทนายความที่ว่าความจริงๆ อย่างผมได้ เพราะความจริงแล้วการนัดพิจารณาของศาลโดยเฉพาะการสืบพยานโจทก์-จำเลย คู่ความทุกฝ่ายต้องกำหนดวันนัด และลงชื่อทราบนัดกันก่อนล่วงหน้า โดยทั่วไปจะมีระยะเวลาห่างจากวันกำหนดนัด ไม่ต่ำกว่าหนึ่งถึงสองเดือนคดีนี้มีการฟ้องคดีตั้งแต่ปี 2565 คู่ความทั้งสองฝ่ายได้กำหนดนัดสืบพยานไว้เป็นช่วงเดือนมีนาคม 2567 แต่ต่อมา หลังจากมีพระราชบัญญัติ กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2565 ใช้บังคับเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอนให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนได้ รับความยุติธรรมโดยไม่ล่าช้า ศาลก็ต้องปฏิบัติตาม โดยประธานศาลฎีกาได้ออก ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ปี 2566 กำหนดระยะเวลาการยื่นคำร้อง การดำเนินการ เวลาพิจารณาพิพากษาคดี ขั้นตอนต่างๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้เผยแพร่ ในรูปแบบที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและเข้าใจ ตรวจสอบได้โดยง่าย มีบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2566 คดีไหนที่นัดกันไว้ก่อนเป็นระยะเวลาที่ยาวไกลเกินไป ก็จะมีการกำหนดนัดกันใหม่เพื่อให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมายใหม่ เช่นเดียวกับคดีนี้ ที่มีการนัดสืบพยานในช่วงเดือนมีนาคม 2567 ศาลเห็นว่า นานไป จึงมีการกำหนดวันนัดใหม่ ให้เร็วขึ้น เป็นสิ่งที่ศาลถือปฏิบัติเป็นการทั่วไป ไม่ใช่เลือกปฏิบัติเฉพาะคดีนี้ อีกทั้งก็ไม่ใช่ว่า ศาลจะนัดเองได้ตามอำเภอใจ คู่ความทั้งฝ่ายโจทก์-จำเลย โดยเฉพาะทนายความทั้งสองคนของนางสาวชลธิชา ก็ทราบนัดก่อนแล้ว แต่พอถึงวันนัดสืบพยานนางสาวชลธิชา กลับขอเลื่อนคดี โดยอ้างว่าทนายติดว่าความที่ศาลอื่นแต่องค์คณะผู้พิพากษา เจ้าของสำนวนคดีนี้ พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ จำเลยได้แต่งตั้งทนายความไว้สองคน หากคนใดคนหนึ่งติดว่าความที่ศาลอื่น อีกคนหนึ่งย่อมทำหน้าที่ได้ แต่ทนายอีกคนหนึ่งกลับไม่มาศาล โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ทราบ องค์คณะผู้พิพากษา ได้ปรึกษาอธิบดีศาลอาญาแล้ว มีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ให้สืบพยานตามที่นัดไว้ โดยใช้ระบบบันทึกภาพและเสียงไว้เป็นหลักฐาน และยังเปิดโอกาสให้นางสาวชลธิชา ซักถามค้านพยานใน ฐานะตัวความด้วยตนเอง แต่นางสาวชลธิชาไม่ซักค้าน กับทั้งศาลยังให้โอกาสให้ทนายจำเลยสามารถซักค้านพยานที่เบิกความไว้แล้ว ในภายหลังที่ทนายจำเลยว่างได้อีกด้วย นางสาวชลธิชาก็ไม่ยอมรับ แต่กลับยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและร้องต่ออธิบดีศาลอาญาให้เปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษา แต่อธิบดีศาลอาญาไม่อนุญาตเพราะเห็นว่า องค์คณะผู้พิพากษาได้ดำเนินกระบวนพิจารณาไปโดยชอบแล้วสรุปให้ฟังชัดๆ อีกครั้งว่า กระบวนการพิจารณาคดีของศาลในกรณีที่มีการออกมาป้ายสีศาลนั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร 1 ศาลเลื่อนพิจารณาเร็วขึ้น เป็นไปตามกฎหมายใหม่ ที่ต้องมีกรอบเวลาพิจารณาให้ชัด 2 คู่ความรู้อยู่แล้ว 3 มีทนายความสองคน คนใดคนหนึ่งติดธุระ อีกคนทำหน้าที่แทนได้ แต่กลับไม่มา 4 ศาลเปิดโอกาสให้นางสาวชลธิชาซักค้านได้ และให้โอกาสทนายซักค้านในนัดหน้าได้ด้วย แต่ไม่ทำ 5 จงใจทำลายความน่าเชื่อถือศาล ด้วยการสร้างเงื่อนไขไม่ยอมรับกระบวนการพิจารณา ทั้งๆ ที่กระบวนการพิจารณาของศาลเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายผมออกมาให้ความเห็นเรื่องนี้ ไม่ใช่จะปกป้องศาลแต่ต้องการให้ทุกคนทราบความจริงที่ถูกปิดเบือน ผิดถูกว่ากันตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงและไม่ใช่จะปกป้องไปทุกเรื่อง อย่างเรื่องที่นายรังสิมันต์ โรม ตรวจสอบกรณีศาลเพิกถอนหมายจับ ส.ว. อุปกิต ผมก็เห็นด้วยว่า ศาลทำไม่ถูกต้อง แต่กรณีนี้ถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงในกระบวนการพิจารณาคดีของศาล นอกจากจะสุ่มเสี่ยงละเมิดอำนาจศาลแล้ว ยังถือว่าประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับ ว่าที่ ส.ส.ที่กำลังจะเข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย อย่าเอาการพิจารณาคดีของศาลไปบิดเบือนเพื่อเป็นบันไดยกเลิก มาตรา 112 เลยครับพรรคก้าวไกล อ้างฉันทามติได้ สส.มา 151 คน มีโอกาสจะได้บริหารประเทศ ผมดีใจด้วยและว่าตามจริง รอคอยด้วยซ้ำที่จะเห็นว่า จะพลิกโฉมประเทศไทยไปทางไหน กาก้าวไกลแล้วประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอย่างไร แต่สิ่งที่หลายคนอาจกังวลเหมือนผม คือ กาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม แล้วสถาบันกษัตริย์ จะยังเหมือนเดิมมั้ย ศาลสถิตยุติธรรม จะถูกสั่นคลอนหรือเปล่า เพราะวิธีคิดที่ใช้เสียงข้างมากตัดสินทุกเรื่อง ไม่สามารถนำมาตัดสินความยุติธรรมได้ ไม่อย่างนั้นเราจะเข้าสู่ระบบศาลเตี้ยทันที