



ฮาจิโกะ คือ สุนัขยอดกตัญญูผู้ไปรอรับเจ้าของที่สถานีชิบูย่าทุกวัน แม้เจ้าของจะจากไปแล้ว มันก็ยังคงเฝ้ารออยู่ที่เดิมเวลาเดิมเป็นเวลานานถึง 10 ปีเต็ม แม้เราจะรู้จักกันในชื่อ ฮาจิโกะ แต่อันที่จริงแล้วสุนัขตัวนี้มีชื่อว่า “ฮาจิ” ส่วนคำว่า “โกะ” ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า “เจ้าชาย” หรือ “นายน้อย”ปัจจุบัน ส่วนผิวหนังของฮาจิโกะได้รับการถนอมไว้ด้วยวิธีการสตัฟฟ์ และถูกจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว มีป้ายอนุสรณ์ของฮาจิโกะตั้งอยู่ในสุสานอะโอะยะมะ ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของศาสตราจารย์อูเอโนะ และยังมีอนุสาวรีย์ซึ่งทำมาจากทองสัมฤทธิ์ ตั้งอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟชิบูย่า ในบริเวณที่ฮาจิโกะเคยรอเจ้านายของมันเรื่องราวสุนัขพันธุ์อากิตะอินุสีขาวครีม ซึ่งเกิดเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ได้รับการบันทึกในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่หนังสือ ภาพยนตร์ ไปจนถึงภาพยนตร์การ์ตูนซิทคอมแนววิทยาศาสตร์เรื่อง “ฟิวเจอรามา” (Futurama) และภาพยนตร์ภาษาจีน ซึ่งนับเป็นเวอร์ชันที่สาม หลังจากเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นในปี 1987 และเวอร์ชันฮอลลีวูด ซึ่งริชาร์ด เกียร์ รับบทนำ ในปี 2009 แม้จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสุนัขที่มีความซื่อสัตย์ตัวอื่นๆ เช่น “เกรย์ไฟรเออร์ บ็อบบี้” แต่ไม่มีเรื่องเล่าของสุนัขตัวใดที่จะโด่งดังไปทั่วโลกเมื่อเทียบกับฮาจิโกะtt ttรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของมันตั้งตระหง่านอยู่นอกสถานีชิบูย่า ในกรุงโตเกียว รูปปั้นฮาจิโกะถูกสร้างขึ้นในปี 1934 ที่หน้าสถานีชิบูย่า บริเวณที่ฮาจินั่งรอเจ้าของของมันเสมอ ซึ่งฮาจิก็อยู่ในวันเปิดตัวรูปปั้นด้วย ก่อนที่รูปปั้นจะถูกนำไปรีไซเคิลเพื่อใช้ในสงครามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1948 ต่อมา ทาเคชิ อันโดะ บุตรชายของศิลปินผู้ปั้นคนแรก ได้สร้างรูปปั้นที่สองขึ้นในเดือนสิงหาคม 2491 และยังคงตั้งอยู่และเป็นจุดนัดพบยอดนิยม โดยทางเข้าสถานีใกล้กับรูปปั้น ได้รับการตั้งชื่อว่า “ฮาจิโก-กุจิ” แปลว่า “ทางเข้า/ทางออกฮาจิโกะ” และเป็นหนึ่งในห้าทางออกของสถานีชิบูย่าเด็กนักเรียนญี่ปุ่นได้รับการสอนเรื่องราวของ “จูเคน-ฮาจิโกะ” หรือสุนัขผู้ซื่อสัตย์ ว่าเป็นตัวอย่างของการอุทิศตนและความซื่อสัตย์ฮาจิโกะยังเป็นตัวแทนของ “พลเมืองญี่ปุ่นในอุดมคติ” และ “การอุทิศตนอย่างไร้ข้อกังขา” เรื่องราวของฮาจิโกะฮาจิโกะ เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2466 ที่โรงนาในเมืองโอดาเตะ จังหวัดอาคิตะ ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของสุนัขพันธุ์อากิตะอินุอากิตะอินุ เป็นสุนัขญี่ปุ่นขนาดใหญ่ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมมากที่สุดของประเทศ รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติในปี 1931 พวกมันเคยถูกฝึกให้ล่าสัตว์ เช่น หมูป่า และกวางเอลก์เออิสึ ซากุราบะ ผู้เขียนหนังสือภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเกี่ยวกับฮาจิโกะ กล่าวว่า “สุนัขอากิตะสงบ จริงใจ ฉลาด และกล้าหาญ และเชื่อฟังเจ้านายของมัน ในทางกลับกัน มันก็มีบุคลิกที่ดื้อรั้น และระแวดระวังคนอื่นนอกจากเจ้านายของมัน”ในปีที่ฮาจิโกะเกิด ฮิเดซาบุโระ อูเอโนะ อาจารย์ด้านการเกษตรที่มีชื่อเสียงและเป็นคนรักสุนัข ได้ขอให้นักเรียนคนหนึ่งหาลูกสุนัขอากิตะให้เขาหลังจากการเดินทางด้วยรถไฟที่เหน็ดเหนื่อย ลูกสุนัขเดินทางมาถึงบ้านพักของอูเอโนะ ในย่านชิบูย่า เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2467 ซึ่งในตอนแรกทุกคนคิดว่ามันตายแล้ว ศาสตราจารย์มายูมิ อิโตะ ผู้เขียนชีวประวัติของฮาจิโกะ กล่าวว่า อูเอโนะ และยาเอะ ภรรยาของเขาให้การดูแลฮาจิโกะจนหายเป็นปกติในอีก 6 เดือนต่อมาอูเอโนะ ตั้งชื่อให้มันว่า “ฮิจิ” หรือแปดในภาษาญี่ปุ่น ส่วน “โกะ” อาจหมายถึง “ท่าน” ซึ่งเป็นคำที่นักเรียนของอูเอโนะมอบให้มันtt ttการรอคอยที่ยาวนานอูเอโนะขึ้นรถไฟไปทำงานหลายครั้งต่อสัปดาห์ เขาพาสุนัขสามตัวของเขามาที่สถานีชิบูย่า รวมทั้งฮาจิโกะด้วย ทั้งสามตัวจะรอเขากลับมาในตอนเย็นในวันที่ 21 พฤษภาคม 2468 อูเอโนะซึ่งขณะนั้นอายุ 53 ปี เสียชีวิตด้วยอาการเลือดออกในสมอง ขณะที่ฮาจิโกะอาศัยอยู่กับเขาได้เพียง 16 เดือนศาสตราจารย์มายูมิ อิโตะ กล่าวว่า “ในขณะที่ผู้คนกำลังร่วมพิธีการเฝ้าศพ ฮาจิได้กลิ่นของอูเอโนะที่อยู่ในบ้าน และเข้าไปในห้องนั่งเล่น มันคลานเข้าไปใต้โลงศพ และไม่ยอมขยับ”ฮาจิโกะ อาศัยอยู่กับหลายครอบครัวในช่วงสองสามเดือนต่อมา นอกย่านชิบูย่า แต่ในที่สุดในฤดูร้อนปี 1925 มันก็ได้มาอาศัยอยู่กับคิคุซาบุโระ โคบายาชิ คนทำสวนของอูเอโนะ หลังจากมันกลับไปยังพื้นที่ที่เจ้านายของมันเคยอาศัยอยู่ ไม่นานนัก ฮาจิโกะก็เริ่มเดินทางไปยังสถานีชิบูย่าทุกวัน ไม่ว่าฝนจะตก หรือแดดจะออกศาสตราจารย์อิโตะ เขียนว่า “ในตอนเย็น ฮาจิจะยืนสี่ขาที่ประตูตรวจตั๋ว และมองดูผู้โดยสารแต่ละคนราวกับว่าเขากำลังมองหาใครสักคน” ในตอนแรกพนักงานสถานีมองว่าเขาเป็นตัวก่อกวน คนขายยากิโทริจะราดน้ำใส่มัน และเด็กชายตัวเล็กๆ ก็รังแกและตีมันฮิโรกิจิ ไซโตะ หนึ่งในนักเรียนของอูเอโนะ ผู้มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสุนัขสายพันธุ์อากิตะ ได้เห็นฮาจิโกะที่สถานี และตามมันไปที่บ้านของโคบายาชิ ซึ่งเขาได้เรียนรู้ประวัติชีวิตของฮาจิโกะ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ตีพิมพ์เอกสารสำมะโนประชากรสุนัขอากิตะในญี่ปุ่น การวิจัยของเขาพบว่าอากิตะพันธุ์แท้เหลืออยู่เพียง 30 ตัว รวมทั้งฮาจิโกะเขากลับไปเยี่ยมฮาจิโกะบ่อยๆ และในช่วงหลายปีต่อมาเขาได้ตีพิมพ์บทความหลายเรื่องเกี่ยวกับความภักดีอันน่าทึ่งของสุนัขในเดือนตุลาคม 2475 บทความชิ้นหนึ่งของเขาซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อาซาฮี ชิมบุน ที่มีชื่อว่า “เรื่องราวของสุนัขที่เศร้าสร้อย” ทำให้ ฮาจิโกะ กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั่วประเทศสถานีได้รับอาหารบริจาคสำหรับฮาจิโกะทุกวัน ในขณะที่ผู้ที่เดินทางมาจากที่ต่างๆ เพื่อมาพบมัน มีการเขียนบทกวีและไฮกุเกี่ยวกับมัน มีรายงานว่างานระดมทุนในปี 2477 เพื่อสร้างรูปปั้นของมัน มีผู้เข้าร่วมถึง 3,000 คนหลังการเฝ้าคอยการกลับมาของเจ้านายเกือบสิบปี สุขภาพร่างกายของมันเริ่มแย่ลง กระทั่งในวันที่ 8 มีนาคม 2478 มีคนพบฮาจิโกะนอนตายอยู่บนถนนแคบๆ สายหนึ่ง ข่าวการตายของฮาจิโกะได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ในงานศพของมัน พระสงฆ์สวดมนต์ให้มัน และผู้มีเกียรติอ่านคำไว้อาลัย ประชาชนหลายพันคนเดินทางมาเยี่ยมชมรูปปั้นของมันในวันต่อมานักวิทยาศาสตร์ระบุสาเหตุการตายของฮาจิโกะว่า สุนัขตัวนี้เป็นทั้งมะเร็งระยะสุดท้ายและโรคเท้าช้าง นอกจากนี้ยังพบยากิโทริในท้องของฮาจิโกะ 4 อัน แต่ยากิโทริไม่ได้ทำลายกระเพาะของมัน หรือทำให้มันเสียชีวิตในญี่ปุ่นหลังสงครามที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากไร้ การระดมทุนเพื่อสร้างรูปปั้นใหม่ของฮาจิโกะ สามารถระดมทุนได้ถึง 800,000 เยน ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาลในขณะนั้น หรือประมาณ 4,000 ล้านเยน หรือราว 974 ล้านบาทในปัจจุบันทาเคชิ โอคาโมโตะ เขียนในบทความในหนังสือพิมพ์ในปี 1982 ในฐานะนักเรียนมัธยมปลายที่เห็นฮาจิโกะที่สถานีทุกวัน “เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันรู้สึกว่าเขารู้ว่า ดร.อูเอโนะ จะไม่กลับมา แต่เขาก็เฝ้ารอ ฮาจิโกะสอนเราถึงคุณค่าของการรักษาศรัทธาในใครบางคน” tt ttระลึกถึงฮาจิโกะวันที่ 8 เมษายนของทุกปี จะมีพิธีรำลึกถึงฮาจิโกะที่ด้านนอกสถานีชิบูย่า รูปปั้นของมันมักประดับด้วยผ้าพันคอ หมวกซานต้า และล่าสุดคือหน้ากากอนามัยหนังของฮาจิโกะได้รับการเก็บรักษาไว้หลังจากการตาย และหุ่นจำลองของมันถูกจัดแสดงอย่างถาวรที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติของญี่ปุ่นในย่านอุเอโนะ กรุงโตเกียว ส่วนเถ้ากระดูกของมันถูกฝังไว้ที่สุสานอาโอยามะ ข้างๆ ศาสตราจารย์อูเอโนะและยาเอะ รูปปั้นของมันยังถูกหล่อขึ้นที่เมืองโอดาเตะ, เมืองฮิไซ บ้านเกิดของอูเอโนะ, มหาวิทยาลัยโตเกียว และรัฐโรดไอส์แลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ในสหรัฐฯ เมื่อปี 2552นอกจากนี้ เมืองโอดาเตะ ยังมีการจัดกิจกรรมมากมายในปีนี้เพื่อฉลองวันเกิดครบ 100 ปีของฮาจิโกะต่อคำถามที่ว่า สุนัขที่ซื่อสัตย์ที่สุดในโลกจะยังคงได้รับการเฉลิมฉลองในอีกหนึ่งศตวรรษนับจากนี้หรือไม่? ศ.ยาโนะ ตอบว่าใช่ เพราะเธอเชื่อว่า “ความกล้าหาญของฮาจิโกะ” ไม่ได้ถูกกำหนดโดยช่วงเวลาใดช่วงหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่อยู่เหนือกาลเวลาด้านซากุราบะก็มองโลกในแง่ดีไม่แพ้กัน “แม้เวลาผ่านไป 100 ปี ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและทุ่มเทนี้จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และเรื่องราวของฮาจิโกะจะคงอยู่ตลอดไป.”