วันเสาร์, 9 ธันวาคม 2566

“ภูมิธรรม” เปิดหมดเปลือก วงเจรจา ก้าวไกล-เพื่อไทย ดัน “วันนอร์” นั่งประธานสภา

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดหมดเปลือก เบื้องหลังเจรจา “ก้าวไกล” เห็นร่วมกันชง “อ.วันนอร์” นั่งประมุขนิติบัญญัติ เปิดดีลใหญ่ “แก้รัฐธรรมนูญ-จับมือก้าวไกลตั้งรัฐบาลจนรอดฝั่ง” ด้าน “พิธา” ขอปรับการคุยการทำงาน ไม่ยืดเยื้อ ต้องจบในวงวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์หลังการโหวตตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรในสภาฯ เสร็จสิ้นว่า จุดประสงค์ที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจเสนอ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธานรัฐสภานั้น เกิดจากข้อถกเถียงระหว่างทีมเจรจา ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส.ของพรรคที่เต็มที่ ทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานสภา แต่ที่ประชุม ส.ส.ส่วนใหญ่ ไม่สบายใจเป็นอย่างมากกับข้อเสนอนี้ และต้องการให้ทีมเจรจายืนตามข้อเจรจาร่วมกันครั้งแรกคือ 14+1 และถ้ายังไม่มีข้อยุติเรื่องนี้ และหากสมมติมีการเสนอคนของพรรคเพื่อไทยโดยพรรคอื่นจริงตามกระแสข่าว พรรคเพื่อไทยก็จะกลายเป็นพรรคที่ไปหักหลังเขา “พวกผมไม่พร้อมเป็นแบบนั้น เราต้องการจบอย่างสง่างาม ถ้าจะเสนอใครหรือไม่ ก็ชัดเจนมาเลย และเราต้องคุมทั้งหมดให้ได้ ซึ่งถ้าคุมไม่ได้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่น หัวหน้าพรรค เลขาฯ พรรค ผม และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยทั้งชุดต้องลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพราะไม่สามารถทำตามข้อตกลงระหว่างพรรคได้ นี่คือสิ่งที่เราหารือกันภายในทีมเจรจาพรรคเพื่อไทย” นายภูมิธรรม กล่าว นายภูมิธรรม เล่าต่อว่า ข้อเสนอที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่คิดไว้ เราจะเสนอ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะเราต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยกัน และเราจะไม่รับรองคนอื่นแม้จะมาจากพรรคของเรา เราต้องการตรงไปตรงมา เราเสนอหัวหน้าพรรคเลยดีกว่า แต่ นพ.ชลน่าน ตอบกลับว่า ไม่เอา ตนไม่พร้อมรับตำแหน่งในสภาวะแบบนี้ และเราต้องเสนอเขา (บุคคลจากพรรคก้าวไกล) หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็หา “คนกลาง” ตนว่า เออ คนกลางก็เป็นทางออกที่ดี จึงมีการนำเสนอชื่อของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากนั้นเราก็ไปนั่งคุยกับพรรคก้าวไกล ในวันที่มีการประชุม 8 พรรคร่วม ที่พรรคก้าวไกล ในวันเดียวกัน (วันอาทิตย์ที่ 2 ก.ค.) ซึ่งทาง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ให้เวลาพรรคเพื่อไทยในการประชุมตามขั้นตอนของพรรค รวมถึงออกมาขอร้องว่าอย่าเปิดประเด็นใหม่ “ผมไปกระซิบบอก อ.วันนอร์ ว่า อาจารย์ เราไม่มีทางเลือก พรรคก้าวไกลเขาก็ไม่มีทางเลือก ทางผม ส.ส.ก็ไม่ยอม อ.วันนอร์ บอกกับผมว่า ยังไงมันก็ต้องมีทางออก ผมเลยบอก อ.วันนอร์ ไปว่า เรามีทางเลือกที่ 3 ซึ่งผมคิดว่า การแก้ปัญหาครั้งนี้ อาจารย์คือทางเลือกที่ดีที่สุด หนทางอยู่มืออาจารย์แล้ว ไม่มีทางอื่น ทางนี้ดีที่สุด นี่เป็นความเห็นส่วนตัวผม และถ้าอาจารย์รับ ปัญหานี้จะถูกแก้และคลี่คลาย แต่สิ่งที่ห่วงก็คือ ได้ยินว่าอาจารย์ป่วย อาจารย์ก็คงจะไม่รับ ซึ่งอาจารย์บอกว่า ผมไม่ได้ป่วยเลย ผมอยากจะลาออก เพราะผมต้องการให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนที่ ผมเลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ดีเลยอาจารย์ เรามีเวลา 1-2 ปี ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเสร็จ เพราะที่ผ่านมา 4 ปีไม่เสร็จ เพราะเขาไปกินเงินเดือนกัน แต่ของเรามีร่างอยู่ในมือ ปรับนิดหน่อย เราไม่ต้องมานั่งรอ เราไปที่กระบวนการให้รัฐบาลใหม่ เสนอกฎหมาย ทำประชามติ และทำประชามติ ให้ ส.ส.ร.มาร่าง รัฐธรรมนูญใหม่ 1-2 ปี ก็เสร็จ อ.วันนอร์ ตอบกลับมาว่า เออ เรื่องนี้ต้องทำ เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนห่วงใย และแก้ปัญหาประเทศไทย ซึ่ง อาจารย์บอกว่า โอเค รับได้ ยืนยันว่าผมไม่ได้สุขภาพไม่ดี ตอนนี้ผมสุขภาพดี” นายภูมิธรรม เปิดเผยต่อว่า ตนกลับมาจากพรรคก้าวไกล คุยกับกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่านี่คือทางออกที่ควรจะเป็น ทุกคนเห็นด้วย จากนั้นตนโทรหา นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ชี้แจงว่า แม้พรรคก้าวไกลเห็นใจพรรคเพื่อไทย แต่มันไม่มีทางเลือกแล้ว ทางเลือกที่เราร่วมกันเสนอชื่อ อ.วันนอร์ เป็นประธานสภา เป็นทางออกที่ดีที่สุด และเป็นภาพแห่งความสามัคคีของเรา จากนั้นทางเลขาธิการพรรคก้าวไกล ได้นำเรื่องนี้ไปพูดคุยกับผู้บริหารพรรคก้าวไกล ประมาณ 1 ชั่วโมง ติดต่อกลับมา นายชัยธวัช ตอบกลับมาว่า เป็นเรื่องยากมากเลย ลำบากใจ ภายในพรรคก้าวไกลเองก็ยากเช่นกัน นายภูมิธรรม ตอบกลับไปว่า นี่คือทางเลือกเดียว มิเช่นนั้น พรรคเพื่อไทยจะขอเสนอชื่อ อ.วันนอร์ เพียงชื่อเดียว อย่างตรงไปตรงมา และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบร่วมกัน แต่ตนเชื่อว่ามีทางออก ให้ไปคุยกันใหม่ จากนั้นเลขาธิการพรรคก้าวไกล เดินทางไปพบ อ.วันนอร์ ถึงบ้าน ตามที่เป็นข่าว และเราก็รอกันอยู่ถึง 00.00 น. ต่อมา ทาง พล.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ แจ้งมาในวันรุ่งขึ้นว่า วันนี้ยังไม่ลงตัว และขอว่า อย่าเพิ่งประชุม ส.ส. และกรรมการบริหารได้ไหม ตนบอกว่าไม่ได้ เพราะจะถูกกล่าวหาว่าชักเข้าชักออก นี่คือกระบวนการในพรรค แต่ตนจะรอจนกว่าจะมีข้อสรุปที่ร่วมกันได้ และเราจะเอาทันที และเรากำลังรอพรรคก้าวไกล จากนั้นทางฝั่งพรรคเพื่อไทยประชุมกันจนใกล้จะจบ พรรคก้าวไกลขอนัดเจอที่ตึกไทยซัมมิท ตน และ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะหนึ่งในทีมเจรจา ก็เดินทางไปเจอ ซึ่งก็ได้พูดคุยกันถึงข้อเสนอของพรรคก้าวไกล ในประเด็นการนิรโทษกรรมผู้แสดงออกทางการเมืองทั้งหมด โดยทางพรรคเพื่อไทยไม่ติด รับได้ แต่ไม่อยากให้มีประเด็นของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาเกี่ยวข้อง เพราะ ดร.ทักษิณ ไม่ประสงค์ให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ จากนั้นทั้ง 2 พรรคจึงตกลงตามเงื่อนไขที่ได้แถลงกันเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา ในการเสนอชื่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธานสภา และพรรคเพื่อไทยก็ได้รักษาสัญญาตามเงื่อนไข จากนั้น เรานัดแถลงข่าวร่วมกันในเวลา 19.00 น. ซึ่งก่อนการแถลง เราก็หารือกันด้วยดี และเราร่วมกันเสนอ นายพิธา เป็นนายกฯ แน่นอน และสิ่งที่เราจะผลักดันร่วมกัน ตามที่แถลงไปใน MOU เราจะร่วมกันผลักดันให้ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ทั้งหมดเป็นแบบนี้ และก่อนหน้านี้ที่มีการวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา ตนไม่ติดใจ เพราะเราเองก็ต่างไม่ได้บอกเล่าข้อเท็จจริงได้หมดให้เข้าใจ ขอถือโอกาสนี้ชี้แจงว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรเลย เรายืนยันว่าเราเอาปัญหาประชาชนเป็นตัวตั้ง เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ไม่ว่าใครจะวิเคราะห์วิจารณ์อย่างไร เราก็จะรวมกันจนที่สุด จนรู้ว่ามันไปต่อไม่ได้ และเอาข้อเท็จจริงมาคุยกัน ซึ่งในวงประชุมร่วมกันก็ตกลง โอเค เราจะเดินหน้าดัน นายพิธา เป็นนายกฯ จนสุดไปต่อไม่ได้แล้วจริงๆ แล้วต่างคนต่างยอมรับกันจริงๆ แล้วมาคุยกันอีกที ตนอยากให้ข้อเท็จจริงเป็นตัวหลัก เมื่อถามว่า การทำงานระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย จะเกิดปัญหาในลักษณะนี้ในอนาคตหรือไม่ นายภูมิธรรม ตอบว่า “ผมว่าต่อจากนี้ไม่น่ามีปัญหา หลังจากการแถลงร่วมกัน 2 พรรค นายพิธา คุยกับตนทันทีว่า “พี่ ผมคิดว่าเรามีหลายเรื่องที่ต้องคุยให้จบเลยในวงต่างๆ” ตนตอบกลับว่า “ได้เลยท่านหัวหน้า ท่านต่อสายหาผมได้เลยตลอดเวลา เพราะสิ่งที่เราต้องการนั้นตรงกัน คือการเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา และนำการเปลี่ยนแปลงสู่ประชาชนตามที่เขาต้องการ” คุณพิธา บอก โอเคพี่ แม้เราจะมีวิธีที่แตกต่างในการมอง เราจึงมีปัญหาที่มองกันอย่างแตกต่าง มันคือเรื่องธรรมดา เพราะอยู่คนละพรรค ขนาดพรรคเดียวกันยังมีปัญหาเลย ถ้าเรายึดประชาชนเป็นตัวตั้ง ยึดประชาธิปไตยที่อยากเป็น ผมว่าสิ่งนี้มันใหญ่กว่า มีคนในพรรคมายืนด่าผม โกรธผมในเรื่องนี้ ผมทนได้ บอกทีมเจรจาด้วยกันว่าเราอย่าไปรู้สึกเลย อย่าคิดว่าเป็นปัญหา เราเอาเรื่องใหญ่ดีกว่า ผมบอก ส.ส.ผมว่า ไม่ต้องห่วงพวกผมหรอก ทำอย่างไรดีกว่าที่เราจะเกาะมือกันกับพรรคก้าวไกล และพรรคร่วม 8 พรรค และไปต่อร่วมกันได้ เราจะไปกันได้ และเราจะไปกันให้รอดฝั่ง ส่วนสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เราจะช่วยกันแก้ และหาทางออกอย่างแน่นอน”.