วันพุธ, 6 ธันวาคม 2566

พบอีกรายสาวอุดรฯ แต่งหนุ่มจีนแลกสินสอด 1 แสน อยู่ครบ 2 ปีถูกส่งกลับ

06 ก.ค. 2023
50

เปิดใจแม่ของสาวอุดรฯ สะใภ้จีนรายที่ 2 เผยเพิ่งรู้แก๊งนายหน้ากามเทพ ได้เงินค่าจับคู่ให้หนุ่มจีนรายละ 1 ล้าน แต่ให้ค่าสินสอดลูกสาวแค่ 1 แสน บอกลูกสาวโชคดีไม่โดนทุบตี กักขัง แม้จะป่วยมีลูกไม่ได้  ทางโน้นก็ช่วยรักษาและให้เงินส่งกลับบ้าน ด้านสาวไทยรายแรกที่ต้องหนีออกจากบ้านสามีที่เซี่ยงไฮ้ เผยกงสุลไทยไม่ได้ช่วยฟรี แต่ให้ยืมเงินเป็นค่าใช้จ่ายและค่าเดินทางกลับบ้าน ตอนนี้ยังเป็นหนี้รัฐบาลอยู่ 1 แสน จากกรณี น.ส.เตย  อายุ 31 ปี ชาวอุดรธานี ที่โดนแก๊งแม่สื่อชักชวนแต่งงานกับชาวจีน โดยเสนอสินสอด 1 แสนบาท จดทะเบียนสมรส พร้อมกับทำสัญญาต้องมีบุตรภายใน 6 เดือนและเดินทางไปอยู่ประเทศจีน แต่ไม่มีลูกเพราะทำหมันแล้ว จึงถูกสามีจีนทำร้ายกักขัง 3 ปี จนป่วยโรคซึมเศร้า และพยายามฆ่าตัวตาย 2 ครั้ง พร้อมกับแต่มารู้ที่หลังจากสามีชาวจีนว่าจ่ายเงินให้แม่สื่อ 1 ล้านบาท สุดท้ายจนต้องหนีออกมาขอความช่วยเหลือจากกงสุลไทยในเมืองเซี่ยงไฮ้ ดำเนินการส่งตัวกลับเมืองไทย และเปิดโปงเรื่องดังกล่าว เพราะคิดว่าเป็นการค้ามนุษย์ อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแก๊งแม่สื่อ ต่อมา วันที่ 6 กรกฎาคม 2566 น.ส.เตย ได้พาผู้สื่อข่าวเดินทางไปบ้าน น.ส.ฝน อายุ 27 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนที่แต่งงานกับคนจีนในวันเดียวกัน แต่ น.ส.ฝนไม่อยู่บ้าน ไปทำธุระที่ต่างอำเภอ แต่ได้พบ นางสวย อายุ 50 ปี และ นางสาย อายุ 73 ปี แม่และยาย น.ส.ฝน นั่งอยู่ในบ้าน ซึ่งทั้งสองยินดีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง นางสวย เล่าว่า น.ส.ฝน ลูกสาวเคยแต่งงานและมีลูก 1 คน ต่อมาได้แยกทางกับสามี และไปทำงานรับจ้างในตัวเมืองอุดรธานี  เมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ลูกสาวได้โทรมาบอกว่า จะไปเมืองนอก โดยได้ไปดูตัวที่บริษัทจัดหางาน ซึ่งหนุ่มจีนชอบลูกสาวแล้ว จากนั้นก็มีพ่อสื่อแม่สื่อ 3 คน พาหนุ่มชาวจีนเดินทางมาดูตัวลูกสาวและเพื่อนที่บ้าน ซึ่งหนุ่มจีนพอใจลูกสาวและ น.ส.เตย จึงตกลงจัดการแต่งงานอยู่ที่บ้าน น.ส.เตย 2 คู่ ได้ค่าสินสอดคนละ 1 แสนบาท จดทะเบียนสมรส และเซ็นสัญญาว่าจะต้องมีบุตรภายใน 6 เดือน และอยู่ให้ครบกำหนด 2 ปี ถ้าไม่ทำตามสัญญาต้องโดนปรับ แต่หาเอกสารที่เซ็นกันไม่พบ คาดว่าแม่สื่อจะเก็บกลับไปด้วย หลังจากลูกเดินทางไปอยู่ที่ประเทศจีน ลูกสาวโทรกลับบ้านทุกวัน ลูกสาวมีอาการวิงเวียน คล้ายจะแพ้ท้อง สามีและครอบครัวรู้สึกดีใจ แต่พอพาไปตรวจกับหมอก็พบว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่กลับมีเนื้องอกในมดลูก จึงได้พาไปผ่าตัดรักษา หลังจากนั้นลูกสาวก็ป่วยอีกเป็นไทรอยด์ สามีชาวจีนก็พาไปรักษา ไม่มีการกักขัง หรือทำร้ายร่างกาย แม้ว่าลูกสาวจะไม่ตั้งครรภ์มีลูกตามที่ครอบครัวสามีต้องการ ลูกสาวยังอยู่ที่บ้านสามีจนครบ 2 ปี จึงขอกลับเมืองไทย สามีได้ซื้อตั๋วเครื่องบินและให้เงินส่งลูกสาวกลับบ้าน “ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ชาวจีนมาแต่งงานเพราะอะไร พอมารู้ภายหลังจากสามีชาวจีนบอกลูกสาวว่า เสียเงินให้แม่สื่อในการหาผู้หญิงไทยมาแต่งงานด้วยจำนวนมากถึง 1 ล้าน แต่ลูกสาวได้เงินสินสอด 1 แสนบาท ก็รู้สึกเสียใจ โชคดีที่ลูกสาวเจอครอบครัวชาวจีนที่ดีญาติพี่น้องมาก ไม่กักขัง ไม่ทุบตี อยากกินอะไรก็ได้กิน เจ็บป่วยก็รักษา พอครบกำหนดก็ให้กลับบ้าน” ด้าน น.ส.ฝน ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เพราะกำลังเดินทางไปต่างอำเภอ ว่า ตนจำได้ว่ามีแม่สื่อพ่อสื่อ เป็นสามีภรรยาชาวไทย มาจากกรุงเทพฯ ผู้หญิงชื่อดา อายุประมาณ 38-39 ปี ผู้ชายชื่อนาย อายุประมาณ 40 ปี พร้อมพวกรวม 4-5 คน ทั้งชาวจีนและชาวไทย มาชักชวนให้แต่งงานกับชาวจีน ได้ค่าสินสอด 1 แสนบาท ตนอยากให้ครอบครัวมีเงิน จึงยอมตกลงแต่งงานไปอยู่ที่จีน แต่ตนป่วยเนื้องอกในมดลูก และไทรอยด์ ครอบครัวชาวจีนก็ดูแลดี ไม่ได้ทรมานกักขัง สิ่งที่ทนไม่ได้คือสามีชาวจีนจะขอหลับนอนด้วยทุกคืน แต่ตนทนอยู่ครบอยู่ 2 ปี จึงเดินทางกลับ  และทราบว่าสามีชาวจีนแต่งงานใหม่แล้ว แต่ยังไม่ได้หย่ากับตน จึงไม่ได้ติดต่อกันอีก ส่วน น.ส.เตย ได้นำรูปในโทรศัพท์มือมาให้ดูขณะไปเที่ยวคาราโอเกะกับหนุ่มจีน 3 คู่ ก่อนเดินทางไปประเทศจีน และโดนทำร้าย กักขัง ซึ่ง น.ส.เตย เปิดเผยว่า ตอนหลบหนีไปขอความช่วยเหลือที่กงสุลไทยในนครเซี่ยงไฮ้ ไม่ได้รับการช่วยแบบฟรี แต่กงสุลได้ทำสัญญาให้ตนกู้ยืมเงิน เป็นค่าปรับวีซ่าหมดอายุ 1 หมื่นบาท ค่าเครื่องบินกลับไทย 1.8 หมื่นบาท  และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งสิ้นตนเป็นหนี้กงสุลไทย 1 แสนบาท เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ตนต้องทำงานหาเงินใช้หนี้ ถึงวันนี้ตนกลับมาถึงบ้าน 10 วัน ยังไม่มีงานทำ ได้ออกไปทำงานไร่มันสำปะหลัง แถมที่บ้านก็ยังมีหนี้สินอีก หลักแสนบาท จึงวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือในการหางานทำ และลดหย่อนหนี้ เพื่อตนจะได้ดำเนินชีวิตต่อไป ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ ปคม.ภ.จว.อุดรธานี และ พม.จ.อุดรธานี ได้ลงพื้นที่เพื่อไปขอข้อมูลกับแหล่งข่าวในกรณีที่เกิดขึ้น และยังมีรายการข่าวอีกหลายช่อง พยายามเชิญผู้เสียหายไปสัมภาษณ์ในรายการด้วย