วันศุกร์, 8 ธันวาคม 2566

"ธาริต" มาศาล ฟังคำพิพากษา คดี "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ฟ้อง คดีสลายชุมนุมปี 53

ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ มาศาลอาญา ฟังคำพิพากษา คดี อภิสิทธิ์-สุเทพ ฟ้อง มาตรา 157 กลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษ คดีสลายชุมนุมเสื้อแดง ปี 53 หลังจากขอเลื่อนมา 9 นัด เจ้าตัว แจกเอกสารให้สื่อ ชี้ ผล 3 ข้อ หากศาลยืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์วันที่ 10 ก.ค. ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 วรรคสอง กรณี นายธาริต กับพวกแจ้งข้อหาดำเนินคดี นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ฐานสั่งฆ่าประชาชน ในการสลายม็อบแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษพวกจำเลยด้วยศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พวกจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษากลับให้จำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญาจำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกา ต่อมาวันที่ 24 มี.ค. 66 นายธาริต ได้ถอนคำให้การเดิมจากที่ให้การปฏิเสธ เป็นรับสารภาพ ไม่ต่อสู้คดีโดยเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายธาริต ไม่ได้มาศาลเพื่อฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาศาลฎีกาตามนัด มีเพียงทนายความมาแสดงใบรับรองแพทย์จาก รพ.พญาไท 2 ว่า นายธาริต มีอาการป่วยบ้านหมุน ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ จึงขอเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน ศาลอาญาพิจารณาแล้วเห็นควรส่งใบรับรองแพทย์ของ นายธาริต ให้ศาลฎีกาพิจารณาโดยในวันเดียวกัน ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ใบรับรองแพทย์แต่ละครั้งของ นายธาริต จำเลยที่ 1 มีลายเซ็นแพทย์ผู้ตรวจไม่เหมือนกัน ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งให้ศาลอาญาดำเนินการไต่สวนแพทย์ผู้ออกใบรับรองแพทย์ และการรักษาอาการป่วยของ นายธาริต ว่า มีอาการเจ็บป่วยจนไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ตามกำหนดนัดว่า ข้อเท็จจริงถูกต้องหรือไม่ เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา แล้วส่งผลการไต่สวนให้ศาลฎีกาพิจารณา และเลื่อนนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 10 ก.ค.นี้ เวลา 09.00 น.โดยในวันนี้ นายธาริต เดินทางมาปรากฏตัวเป็นครั้งแรก หลังจากขอเลื่อนมา 9 นัด ที่ศาลอาญา โดยถึงเวลา 08.50 น. พร้อมทำเอกสารเเจกสื่อมวลชนที่รอทำข่าวอยู่หน้าศาลอาญา ความว่าคำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ศาลอาญาได้นัดอ่านในเช้าวันนี้ จะมีผลสำคัญอย่างใหญ่หลวงมาก ดังที่ข้าพเจ้าได้แถลงข่าวไปแล้ว เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2566 เพราะหากจะพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้ว จะมีผลสำคัญมาก 3 ประการ คือ1. จะเป็นการรับรองยืนยันหรือการันตีว่า นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้สั่งการให้ทหารใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 ไปยิงทำร้ายประชาชนโดยชอบแล้วทุกประการ2. ผู้ตาย 99 ศพ ผู้บาดเจ็บ 2,000 กว่าคน และญาติผู้ตายจะไม่มีโอกาสได้รับความยุติธรรมและชดใช้ความเสียหายอีกเลย เพราะผลจากคำพิพากษาเช่นนั้น เท่ากับพิพากษาว่าเขาเป็นผู้สมควรตายและ 3. นายธาริต กับพวกพนักงานสอบสวนที่เป็นผู้รักษากฎหมาย จะกลายเป็นผู้ผิด ต้องรับโทษจำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาดังนั้น ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมายในการแสวงหาความยุติธรรมให้กับ 99 ศพ และตัวข้าพเจ้าเองกับพนักงานสอบสวนที่ถูกฟ้องอย่างถึงที่สุดบัดนี้ ข้าพเจ้าได้รับทราบข้อมูลมาเป็นที่น่าเชื่อว่า ในการทำคำพิพากษาของศาลฎีกา ซึ่งยังไม่ได้อ่านคำพิพากษาและยังมีข้อโต้แย้งจากจำเลย คือ ข้าพเจ้าและญาติผู้ตายอยู่นั้นมีข้าราชการกลุ่มหนึ่งเกี่ยวข้องเกี่ยวพันในการทำคำพิพากษา (กล่าวถึงประธานศาลฎีกาและผู้พิพากษาศาลฎีกา) มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่ม กปปส. ซึ่งมี นายสุเทพ โจทก์ที่ 2 ในคดีนี้ เป็นหัวหน้าหรือประธานกลุ่ม กปปส. โดยเป็นฝักฝ่ายและเป็นฝ่ายเดียวกัน ซึ่งขณะนี้ นายสุเทพ กับพวก กปปส. ก็ได้ยื่นฟ้องข้าพเจ้าต่อศาลอาญาคดีทุจริตกลางเป็นอีกคดีหนึ่งว่า ที่ข้าพเจ้าดำเนินคดีกับ นายสุเทพ และกลุ่ม กปปส. จนศาลอาญาลงโทษจำคุกไปมากกว่า 10 คนนั้น เป็นเพราะถูกข้าพเจ้ากลั่นแกล้ง จึงน่าเชื่อว่าการทำคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีนี้ จะไม่เป็นไปโดยถูกต้องและไม่เป็นธรรมฉะนั้น เมื่อ 08.30 น. ของวันนี้ ข้าพเจ้าจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาโต้แย้งคำคัดค้านองค์คณะและผู้เกี่ยวข้อง (กล่าวพาดพิงประธานศาลฎีกาคนก่อน) อีกจำนวนหนึ่ง ที่ได้ร่วมกันทำคำพิพากษาโดยขอให้ศาลอาญาส่งคำร้องนี้ไปยังศาลฎีกา เพื่อให้มีกระบวนการโดยรวมถึงประธานศาลฎีกาคนปัจจุบัน นำเอาการพิจารณาทำคำพิพากษาคดีนี้เข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา และไม่ว่าผลของคำพิพากษาศาลฎีกาที่จะได้พิพากษาโดยที่ประชุมใหญ่จะออกมาเป็นอย่างใด ข้าพเจ้าพร้อมจะยอมรับว่าได้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ตาย 99 ศพ และบาดเจ็บ 2,000 คน รวมถึง นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ผู้ที่เกี่ยวข้อง และข้าพเจ้าอย่างแท้จริงและจากการที่ข้าพเจ้าได้ยื่นคำร้องคัดค้านผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ได้ทำคำพิพากษาดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงได้ยื่นคำร้องอีก 1 ฉบับ ขอให้บรรดาคำร้องที่สำคัญที่ได้มีการยื่นไว้ในคดีนี้คือคำร้องของญาติผู้ตาย ขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่ 3 และคำร้องที่ข้าพเจ้าขอให้ศาลฎีกาส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า มาตรา 157 และมาตรา 200 แห่ง ป.อาญา ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญใช้บังคับลงโทษในคดีนี้ไม่ได้นั้น ข้าพเจ้าร้องคัดค้านและโต้แย้งว่ากลุ่มผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น จะพิจารณาสั่งคำร้องดังกล่าวทุกฉบับไม่ได้ โดยข้าพเจ้าร้องขอให้ผู้ที่จะมีอำนาจหน้าที่พิจารณาและสั่งคำร้องทุกฉบับคือที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาเช่นกันการยื่นคำร้องคัดค้านโต้แย้งองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา อดีตประธานศาลฎีกา และผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวมานี้ เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งมีคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 3818/2533 วางบรรทัดฐานรับรองและคุ้มครองสิทธิให้กระทำได้ และไม่เป็นการละเมิดอำนาจศาลข้าพเจ้าเชื่อมั่นในกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมขององค์กรศาลยุติธรรมในภาพรวม และเชื่อว่าศาลอาญาจะได้ส่งคำร้องขอทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว ที่ข้าพเจ้าได้ยื่นในเช้านี้ไปยังศาลฎีกา และทางศาลฎีกาจะได้มีกระบวนการพิจารณาคำร้องขอของข้าพเจ้าอย่างเป็นธรรม โดยประธานศาลฎีกาท่านปัจจุบันจะได้เห็นชอบให้ การทำคำพิพากษาและการพิจารณาสั่งคำร้องทุกเรื่องได้เข้าสู่การพิจารณาและจัดทำโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต่อไปนายธาริต ยังกล่าวอีกว่า ส่วนที่ นายราเมศ รัตนเชวง และ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ออกมาดิสเครดิตตนว่าดำเนินคดีกับ นปช. ว่าผิด แล้วจะดำเนินคดีกับ อภิสิทธิ์ และ สุเทพ ได้อย่างไรนั้น เรื่องนี้ได้ชี้แจงแล้วว่า คดีนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน กรณีของ นปช. ที่เข้าไปในเรดโซน มีความผิดก็ถูกดำเนินคดี ส่วนคนที่ใช้อำนาจ ศอฉ. สั่งให้เอาอาวุธไปยิงประชาชนในเรดโซน ก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน นายราเมศ และ นายนิพิฏฐ์ เป็นผู้ใหญ่ เป็นนักกฎหมายคนสำคัญของพรรค มาพูดแบบนี้ถือว่า โกหกและไม่เคารพการตาย 99 ศพ และบาดเจ็บ 2 พันคน ใครกันแน่ที่เลอะเลือน ส่วนที่ศาลยกฟ้อง อภิสิทธิ์ และ สุเทพ ทั้ง 3 ศาล ก็ไม่ได้บอกว่า ทั้ง 2 คน ไม่ผิดในการสั่งยิง แต่บอกว่าให้ย้อนกลับไปไต่สวนสอบสวนที่ ป.ป.ช. ก่อนมาฟ้องศาลใหม่ ตรงนี้สำคัญมาก ไม่เคยมีศาลใดพิสูจน์เลยว่า ทั้ง 2 คน สั่งทหารใช้กำลังยิงประชาชนถูกต้อง.