วันจันทร์, 29 เมษายน 2567

กระตุกคิดผู้นำประเทศ

ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ ในยามที่บ้านเมืองไม่มีเข็มทิศชี้วัดว่าเราจะไปทางไหนกัน ก็เลยไม่มีจุดร่วมเดินไปด้วยกันได้อย่างชัดเจน“เวียดนาม” ประกาศที่ดาวอสในการประชุมอีโคโนมิค ฟอรัม ว่าในปี ๒๑๕๐ จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วมีจีดีพีอยู่ที่ ๖–๖.๕%นั่นแสดงว่ารัฐบาลเวียดนามมั่นใจแล้วว่าจะบริหารประเทศให้พัฒนาไปสู่ความสำเร็จด้วยการวางเป้าหมายให้ทุกคนได้รับรู้เพื่อให้คนเวียดนามได้รับรู้และช่วยกันผลักดันไปในทิศทางเดียวกันเวียดนามมีประชากรมากกว่าไทย มีชายทะเลที่ยาวต่อเนื่องติดต่อกัน มีประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อชาติของเขาในสงครามอินโดจีนสู้กับสหรัฐฯจนได้รับชัยชนะ เพราะความมุ่งมั่นและเป็นหนึ่งเดียวกันจนชาติใหญ่ต้องพ่ายแพ้ สูญงบประมาณไปอย่างมหาศาลกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ทั่วโลกลุกขึ้นมาต่อต้านสงครามในยุคที่เรียกกันว่า “ฮิปปี้” เป็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกก็ว่าได้มาวันนี้เวียดนามได้หันมาจับมือกับสหรัฐฯและชาติอื่นๆ เพื่อพัฒนาประเทศทุกด้านโดยเฉพาะเศรษฐกิจที่แนบชิดกับศัตรูเก่าได้เป็นอย่างดีทำให้เศรษฐกิจของเวียดนามโตวันโตคืนแซงหน้าไทยไปหลายก้าวอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นเพราะความมุ่งมั่นและชาญฉลาดของพวกเขานี่คือความจริงอีกมุมหนึ่งที่ไทยจะต้องคิดและปรับขบวนกันใหม่ทั้งระบบประเด็นสำคัญก็คือ ความสามัคคีมีรัฐบาลที่เข้มแข็งมั่นคงและสร้างมิตรหลากหลาย ไม่ว่าซ้ายหรือขวาขอเพียงให้ได้ประโยชน์สูงสุดเท่านั้นไทยวันนี้ภายใต้รัฐบาลที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศมาได้ ๔–๕ เดือน แต่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้ปรากฏนอกจากการเดินทางไปต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ได้พบปะกับผู้นำโลกหลายคน พบนักธุรกิจระดับโลกจำนวนไม่น้อยเขาบรรลุถึงคำเรียกขานว่า “หัวหน้าเซลส์แมน” จริงๆแต่มองอีกมุมหนึ่งที่น่าเสียดายก็คือเวลา เพราะดูเหมือนว่าจะบริหารงานต่างประเทศมากกว่าในประเทศเสียอีกที่สำคัญคือ เป้าหมายและความชัดเจนว่า การพบปะบรรดามีเหล่านี้ว่าต้องการอะไร เพื่ออะไร นอกจากกวาดไปทั่วได้พบคนนั้นคนนี้แต่มันสอดคล้องกับสิ่งที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงแค่ไหน?สุดท้ายกลายเป็นว่าได้รู้จัก ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้น แต่ไม่ได้เกิดประโยชน์อย่างที่ต้องการเพราะไม่มีแผนการที่ชัดเจน!สุดท้ายเกรงว่าจะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือเพื่อประโยชน์ของประเทศนอกจากได้รู้จักมักคุ้นกันเท่านั้นคล้ายกันว่าอยากได้ทุกอย่างโดยไม่ได้เลือกสรรว่าอันไหนสอดคล้องกับความ ต้องการจริงๆ เพราะยังไม่รู้ว่าต้องการอะไรแน่นายกรัฐมนตรีจะต้องกลับมาสุมหัวเพื่อหาจุดที่ลงตัวว่าไทยควรจะไปทางไหนอย่างไร เพื่อให้เกิดความชัดเจนไม่ใช่หมกมุ่นอยู่แค่ “ดิจิทัลวอลเล็ต” จนไม่ได้ทำอะไรกันแล้วแทนที่จะตัดจบ จะไปต่อหรือพอกันทีก็ว่ากันไปเพราะประเทศยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องคิดต้องทำเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างที่เวียดนามได้แสดงให้เห็นแล้ว“อินโดนีเซีย” ก็ไปไกลสุดในอาเซียน“ไทย” เคยยืนหนึ่งมาตลอด แต่วันนี้ร่วงลงมาเรื่อยๆ เพราะผู้นำทางการเมืองยังไม่รู้ทิศทางว่าจะนำพาประเทศไปทางไหนแน่เพราะมัวแต่แก้ปัญหาของตัวเองและพวกพ้อง แต่ไม่ได้ทำเพื่อชาติสักนิด!“ลิขิต จงสกุล”คลิกอ่านคอลัมน์ “สับรางวันอาทิตย์” เพิ่มเติม