วันจันทร์, 29 เมษายน 2567

"ประเสริฐ" ตอบกระทู้ "สว." ย้ำ ปราบมิจฉาชีพออนไลน์เด็ดขาด เพื่อคนไทยปลอดภัย

“ประเสริฐ” รัฐมนตรีว่าการดีอีเอส ตอบกระทู้ “สว.” ย้ำ เดินหน้าปราบมิจฉาชีพออนไลน์เด็ดขาด สร้างความปลอดภัยคนไทย พร้อมจับมือพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เร่งป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์วันที่ ๑๑ มี.ค. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ชี้แจงในการตอบกระทู้การประชุมสมาชิกวุฒิสภา กรณี พลตรี โอสถ ภาวิไล ส.ว. ได้ถามถึงการป้องกันและปราบปรามแก๊ง Call Center ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น จำนวนผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและมูลค่าความเสียหายว่า กระทรวงดีอี ตระหนักถึงปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงประชาชน โดยกลุ่มมิจฉาชีพ ได้มีการสร้างเรื่องหลอกลวงหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีการสั่งการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย (TBA) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน กลต.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในการร่วมกันร่างและออกกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหานี้ คือ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๖๖ เพื่อใช้เป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการฉ้อโกงและหลอกลวงออนไลน์ นายประเสริฐ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้จะมีบทลงโทษผู้กระทำความผิดและผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ กรณีของผู้เปิดบัญชีหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก นำไปใช้ในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ หรือเป็นธุระจัดหา โฆษณาให้มีการซื้อขายบัญชีเงินฝาก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒-๕ ปี หรือปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งยังมีโทษสำหรับผู้ที่เป็นธุระจัดหาเพื่อให้มีการซื้อ หรือขายหมายเลขโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒-๕ ปี หรือปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ กระทรวงดีอียังได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ (Anti-Online-Scam Operation Center : AOC) โทร. ๑๔๔๑ เป็น One Stop Service ในการปราบปรามเชิงรุกและรับมือกับปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ โดยศูนย์จะดำเนินงานในลักษณะ Task Force Command Center เพื่อปราบปรามเชิงรุกและรับมือกับปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ การหลอกลวงทางการเงินที่ทำให้ประชาชนเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากและส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งมีช่องทางการให้ประชาชนสามารถรับคำปรึกษาปัญหาทางคดีได้ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงวิธีการหลอกลวงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงอยู่ตลอดเวลา ทั้งในช่องทางเว็บไซต์ของกระทรวงและช่องทางของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย รวมถึงช่องทางโซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม TikTok ทวิตเตอร์ เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักและมีภูมิคุ้มกันถึงภัยต่างๆ อยู่ตลอดเวลา นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ขยายขอบเขตการทำงานให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยมีการลงนามความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการไปรษณีย์และโทรคมนาคมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาในการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam รวมทั้งมีการจัดตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคณะทำงานนี้ มีปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธาน ล่าสุดได้มีการหารือการแก้ไขปัญหาในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ ๔ (The ๔th ASEAN Digital Ministers’ Meeting: The ๔th ADGMIN) เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และจะมีการหารือกันอีกครั้ง ระหว่างเดือนมีนาคมร่วมกับคณะทำงานฝ่ายกัมพูชา ในการประชุมผู้นำเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัลและผู้นำสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน ครั้งที่ ๑ ณ ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นการสานต่อความร่วมมือด้านดิจิทัลในมิติต่างๆ โดยเฉพาะการจัดการภัยออนไลน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ซึ่งเป็นปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติระดับโลก และประเทศไทยมีบทบาทสำคัญ ในการยกระดับความร่วมมือและการดำเนินงานของอาเซียนในการจัดการและรับมือกับปัญหา การหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์

เรื่องที่เกี่ยวข้อง