Monday, 4 November 2024

"TikTok" ชี้ร่างกฎหมายแบนของสหรัฐฯ จะ "เหยียบย่ำ" เสรีภาพการแสดงความคิดเห็น

ติ๊กต่อก (TikTok) กล่าวแสดงความกังวลเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หลังสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ เตรียมแบนแอปพลิเคชันติ๊กต่อก หากบริษัทแม่ในประเทศจีน ไม่ขายกิจการให้กับบริษัทเอกชนในสหรัฐฯ ภายในปีนี้สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ลงมติ ๓๖๐ เสียงต่อ ๕๘ เสียง ผ่านร่างกฎหมายที่ระบุให้บริษัทไบต์แดนซ์ (ByteDance) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ในประเทศจีน ต้องขายกิจการของสื่อโซเชียลมีเดีย “ติ๊กต่อก” ให้กับบริษัทเอกชนในสหรัฐฯ ภายใน ๒๗๐ วัน หรือ ๙ เดือน โดยหากไม่ดำเนินการตามนี้ แพลตฟอร์มติ๊กต่อก จะถูกแบนออกจากแอปสโตร์ของผู้ใช้บริการในสหรัฐฯ ซึ่งมีมากถึง ๑๗๐ ล้านคนสมาชิกสภานิติบัญญัติของสหรัฐฯ ทั้งจากพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต และฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวว่า ติ๊กต่อกก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ เนื่องจากรัฐบาลจีนสามารถบังคับให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลของผู้ใช้ ๑๗๐ ล้านคนในสหรัฐฯ ได้ติ๊กต่อกกล่าวในแถลงการณ์ว่า “น่าเสียดายที่สภาผู้แทนราษฎรฯ อาศัยความสำคัญของการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในต่างประเทศเพื่อเบี่ยงเบนร่างกฎหมายที่จะเหยียบย่ำเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของชาวอเมริกัน ๑๗๐ ล้านคน”เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ติ๊กต่อกได้วิพากษ์วิจารณ์ร่างกฎหมายฉบับเดิมที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา โดยกล่าวว่ามันจะ “ปิดหูปิดตาชาวอเมริกันหลายล้านคน” ติ๊กต่อกยังได้โต้แย้งในทำนองเดียวกันว่าการสั่งแบนติ๊กต่อกในรัฐมอนทานาเมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นการละเมิดการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ ๑สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน แสดงการคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าวในประเด็นเรื่องเสรีภาพในการพูด ขณะที่ติ๊กต่อกยืนยันว่าไม่เคยเปิดเผยข้อมูลของสหรัฐฯ และจะไม่มีวันเปิดเผยมาร์ก วอร์เนอร์ วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครต และประธานคณะกรรมการข่าวกรองของวุฒิสภา กล่าวว่า รัฐบาลจีนสามารถใช้ติ๊กต่อกเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อ โดยตั้งข้อสังเกตว่าคนหนุ่มสาวจำนวนมากใช้ติ๊กต่อกเพื่อรับข่าวสาร “ความคิดที่ว่าเราจะมอบเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อนี้แก่พรรคคอมมิวนิสต์ เช่นเดียวกับความสามารถในการเก็บข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกัน ๑๗๐ ล้านคน ถือเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ”สถาบัน Knight First Amendment Institute แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งเป็นกลุ่มเสรีภาพในการพูด กล่าวว่าร่างกฎหมายนี้อาจไม่ประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง เนื่องจากจีนและศัตรูของสหรัฐฯ ยังคงสามารถซื้อข้อมูลของชาวอเมริกันจากนายหน้าในตลาดเปิด และมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวเพื่อบิดเบือนข้อมูล โดยใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในสหรัฐฯสมาชิกพรรคเดโมแครตบางคนยังได้หยิบยกข้อกังวลเกี่ยวกับเสรีภาพในการพูดต่อการแบนติ๊กต่อกครั้งนี้ และร้องขอให้มีการออกกฎหมายที่คุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เข้มงวดยิ่งขึ้นแทนสภาผู้แทนราษฎรฯ ลงมติเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ให้ไบต์แดนซ์ต้องขายกิจการภายใน ๖ เดือน ไม่เช่นนั้นจะถูกแบน ส่วนกฎหมายดังกล่าว ซึ่งผ่านความเห็นชอบเมื่อวันเสาร์ ที่กำหนดเส้นตายไว้ ๙ เดือน อาจขยายออกไปได้อีก ๓ เดือน หากประธานาธิบดีต้องพิจารณาความคืบหน้าในการขายกิจการประเด็นเรื่องติ๊กต่อกยังเป็นหัวข้อการสนทนาระหว่างนายไบเดน และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เมื่อต้นเดือนนี้ โดยไบเดนแสดงความกังวลเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของของแอปฯ.ที่มา Reutersติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign