วันจันทร์, 29 เมษายน 2567

"มหาดไทย" ลุยใต้ นำโค้ชชิ่งความรู้แฟชั่นต่อยอดผ้าไทย สร้างรายได้และอาชีพ

25 ก.พ. 2024
52

ปลัด กระทรวงมหาดไทยลุยใต้ นำโค้ชชิ่งความรู้แฟชั่นสมัยใหม่พัฒนาผ้าไทย หวังสร้างรายได้และอาชีพให้กับพี่น้องประชาชนวันที่ ๒๕ ก.พ. ๖๗ เวลา ๐๙.๐๐ น. ที่ ห้องภูผาเมฆ ชั้น ๓ โรงแรมทีอาร์ร็อคฮิลล์ ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างการรับรู้และเผยแพร่พระอัจฉริยภาพทางด้านการอนุรักษ์และต่อยอดมรดกภูมิปัญญาการทอผ้าของไทยของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ครั้งที่ ๓ พร้อมบรรยายพิเศษ “พระอัจฉริยภาพด้านการอนุรักษ์และต่อยอดมรดกภูมิปัญญาการทอผ้า” โดยมี นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าฯ สงขลา ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าฯ นราธิวาส นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าฯ ปัตตานี หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ในพื้นที่ รวมถึงผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย Young OTOP และผู้ที่สนใจพัฒนาและต่อยอดภูมิปัญญาด้านผ้าไทย รวมกว่า ๒๐๐ คน ร่วมในงานนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นโครงการที่เกิดขึ้นเพื่อต่อยอดแนวทางการพัฒนารูปแบบผ้าไทยให้มีความทันสมัยตามพระดำริ ซึ่งในปี ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสมาคมแม่บ้านมหาดไทย โดย ด็อกเตอร์วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย น้อมสำนึกในพระกรุณาคุณของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่พระราชทานแนวทางพระดำริ ทำให้ทุกวันนี้ผืนผ้าไทยทั่วประเทศได้รับการพัฒนาทักษะและต่อยอดผู้ประกอบการ ช่างทอผ้า จนมีลวดลายที่สวยงาม ทันสมัย และเป็นผืนผ้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดประกวดออกแบบตัดเย็บโดยเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ทั่วประเทศ และเชิญชวนให้มีการเดินแบบผ้าไทยตามโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุกทั้งในส่วนกลางและในส่วนภูมิภาค ทำให้เกิดการตื่นตัวในการออกแบบตัดเย็บและการสวมใส่ผ้าไทยเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการเชื้อเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย มาร่วมออกแบบการฝึกอบรมเพื่อร่วมกันขยายผลแนวพระดำริให้ผืนผ้าไทยได้รับความนิยมชมชอบเป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ผู้เข้ารับการฝึกอบรมในวันนี้คือผู้ที่เป็นความหวังของการต่อยอดโครงการพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ทุกท่านคือผู้ขับเคลื่อนขยายผลในช่วงปลายน้ำ คือ การออกแบบตัดเย็บและการทำบรรจุภัณฑ์เพื่อจำหน่ายสู่ผู้บริโภค ซึ่งองค์ความรู้ที่คณะวิทยากรถ่ายทอดให้กับทุกท่านในวันนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ตลอดจนทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ในการร่วมกันสนองแนวพระดำริ ก่อเกิดออกดอกออกผลยกระดับภูมิปัญญาผ้าไทยได้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น “นับเป็นพระกรุณาธิคุณที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานแนวพระดำริในการพัฒนาภูมิปัญญาผ้าไทย นับเนื่องตั้งแต่การเสด็จทรงงานบ้านดอยกอย ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร โดยทรงถ่ายทอดโค้ชชิ่งการ “สืบสาน รักษา และต่อยอด” ภูมิปัญญาผ้าไทยของผ้าย้อมครามให้กับแม่ถวิล อุปรี ประธานกลุ่มทอผ้าย้อมครามบ้านดอนกอย จังหวัดสกลนคร และสมาชิกกลุ่ม ซึ่งในอดีตมีรายได้จากการขายผ้าย้อมครามเพียง ๔๐๐ บาท/เดือน แต่ภายหลังจากที่พระองค์เสด็จไปพระราชทานแนวทางการพัฒนาผ้าย้อมคราม ทั้งการปรับเปลี่ยนโทนสีของผ้าให้มีความทันสมัย ทำให้สีที่เข้มอ่อนลง หรือแพนโทน ทำให้ทุกวันนี้พี่น้องประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า ๑๕,๐๐๐ บาท/เดือนพร้อมทั้งพระราชทานหนังสือ THAI TEXTILES TREND BOOK ที่ทรงเป็นบรรณาธิการ เพื่อเป็นแนวทางให้กับประชาชนผู้ประกอบการกลุ่มทอผ้า ได้ยกระดับงานผลิตภัณฑ์จากการทำงานหัตถศิลป์ หัตถกรรม ทำให้ผลิตภัณฑ์ผ้าไทยมีความหลากหลาย นำไปสู่การสร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและลูกหลานให้ดีขึ้นได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ บ้านดอนกอยได้มีสถานที่ถ่ายทอดงานหัตถศิลป์และงานหัตถกรรมไทย เป็นแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้ผ้าย้อมคราม ผ้ามัดหมี่ และผ้าทอประเภทต่างๆ อยู่ในที่เดียวกัน มีกระบวนการถ่ายทอดที่จะทำให้เกิดความยั่งยืน คือ การถ่ายทอดให้กับลูกหลานเยาวชนที่อยู่ในพื้นที่ และการถ่ายทอดให้กับผู้คนที่สนใจในการศึกษาเรียนรู้แบบ Quick Win ภายใต้ศูนย์เรียนรู้ ชื่อว่า วิชชาลัยดอนกอย วิถีแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงต้นนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้พระราชทานพระดำริ Sustainable Fashion เพื่อให้พวกเราตระหนักและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เป็นการอนุรักษ์โลกและรักษาสุขภาพอนามัยของประชาชนกลุ่มผู้ประกอบการผ้าไทย โดยการนำเอาวัสดุตามธรรมชาติมาเป็นสีย้อมผ้า อีกทั้งน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ ทำให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และไม่ทำลายโลกใบเดียวนี้ของเรา ซึ่งการใช้วัสดุธรรมชาติมาเป็นสีย้อมผ้า ทำให้เราได้ค้นพบสีที่เป็นโทนสีแปลกใหม่เพิ่มเติม อีกทั้งทำให้เกิดลวดลายใหม่ๆ รวมไปถึงการออกแบบการตัดเย็บในรูปแบบทันสมัย เป็นที่นิยมชมชอบและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดนายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จังหวัดสงขลาได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ชุมชนภูมิปัญญาเพื่อพัฒนาผ้าไทย จำนวน ๒ ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นอนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นเกาะยอ วัดโคกเบี้ยว ตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา และศูนย์เรียนรู้ชุมชนภูมิปัญญาบ้านนาเสมียน ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา สนับสนุนให้ผู้ประกอบการผ้าร่วมส่งผ้าประกวดในการประกวดผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” และงานหัตถกรรม ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๖ ซึ่งจังหวัดสงขลาสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ เหรียญทอง ประเภท ผ้าบาติก มัดย้อม เขียนเทียน ผลงานของนายธณกร สุขเมตตา จากกลุ่มมีดีนาทับ อำเภอจะนะ อีกทั้งพัฒนาลายผ้าไทยจากลายราชวัตรดั้งเดิม ต่อยอดเป็น “ลายราชวัตรยกดอกสะเดา” ตลอดจนได้รณรงค์ส่งเสริม ให้ประชาชนชาวจังหวัดสงขลาสวมใส่ผ้าไทยทุกวัน และกำหนดจัดกิจกรรมเดินแบบผ้าไทย ในงานประจำปีและงานกาชาดจังหวัดสงขลา มีกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการผ้า จำนวน ๔๖ กลุ่ม แบ่งเป็น กลุ่มผู้ผลิตผ้าทอ จำนวน ๑๐ กลุ่ม ผู้ผลิตผ้าบาติกมัดย้อม จำนวน ๑๔ กลุ่ม และกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้า จำนวน ๒๒ กลุ่ม โดยในปี พ.ศ. ๒๕๖๖ จนถึงปัจจุบัน สามารถสร้างรายได้จากการผลิตผ้าได้มากกว่า ๗๐ ล้านบาท”สำหรับการจัดกิจกรรมอบรมในครั้งนี้ ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทยและงานหัตถกรรม มาถ่ายทอดองค์ความรู้หลากหลายสาขาวิชาที่เป็นการอนุรักษ์และต่อยอดมรดกภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรม ได้แก่๑.การสร้างแบรนด์ให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าและงานหัตถกรรมสู่ตลาดสากล ๒.การต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ้าและงานหัตถกรรมตามเทรนด์แฟชั่นที่ร่วมสมัย ๓.การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด ๔.การผลิตเส้นใยและการย้อมสีธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (BCG) และ ๕.กลยุทธ์ทางการตลาดและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้า ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาและเพิ่มพูนองค์ความรู้ทักษะการทอผ้าของตนเองให้ดียิ่งขึ้น เพื่อร่วมกันสืบสาน รักษา และต่อยอดภูมิปัญญาด้านผ้าไทยสู่ชุมชน และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน” นายสมนึก กล่าวทิ้งท้าย.