Monday, 20 May 2024

ก้าวไกล ถาม มติ คณะรัฐมนตรีลดค่าจดทะเบียนจำนอง ช่วยคนมีบ้าน หรือช่วยบริษัทอสังหาฯ

10 Apr 2024
23

“วรภพ” สส.ก้าวไกล ตั้งคำถามมติ ครม. ลดค่าจดทะเบียนจำนองเหลือ ๐.๐๑% ขยายให้รวมถึงบ้านราคาไม่เกิน ๗ ล้าน เป็นมาตรการเพื่อคนไทยมีบ้าน หรือเพื่อช่วยบริษัทอสังหาฯ โละสต๊อกบ้านกันแน่ วันที่ ๑๐ เม.ย. ๒๕๖๗ วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (๙ เม.ย.) ที่เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ๕ ข้อว่า มี ๒ ประเด็นใหญ่ ที่สะท้อนแนวนโยบายที่น่ากังวลไปจนถึงเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนของรัฐบาลเศรษฐาโดยข้อที่ตนเห็นด้วยว่าเป็นประโยชน์และส่งเสริมให้คนไทยมีบ้านคือ โครงการสินเชื่อบ้าน ไม่เกิน ๓ ล้านบาท/ราย, โครงการบ้าน BOI ไม่เกิน ๑.๕ ล้านบาท/หลัง แต่มาตรการที่น่ากังวล คือ การลดค่าธรรมเนียมโอนอสังหาฯ จาก ๒% เป็น ๐.๐๑% และค่าจดทะเบียนจำนอง จาก ๑% เป็น ๐.๐๑% จากมาตรการเดิมที่กำหนดให้เฉพาะบ้านราคาไม่เกิน ๓ ล้านบาท ปรับเป็นรวมไปถึงบ้านราคาไม่เกิน ๗ ล้านบาท ประเด็นแรกคือ ที่มาของการทบทวนมาตรการลดค่าธรรมเนียมรอบนี้ รัฐบาลอ้างว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา และข้อมูลจากภาคอสังหาพบว่า บ้านราคาต่ำกว่า ๓ ล้านบาทที่เหลือขายมีจำนวนไม่มาก แต่บ้านราคา ๓-๗ ล้านบาท ที่ยังเหลือขายมีจำนวนสูงถึง ๔๖% หรืออีกในความหมายหนึ่ง บ้านค้างสต๊อกของกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ อยู่ที่ราคา ๓-๗ ล้านบาท/หลัง ไม่ใช่ที่ราคาต่ำกว่า ๓ ล้านบาท/หลัง ซึ่งข้อมูลนี้มาจากการแถลงข่าวของรัฐบาลเองซึ่งมาตรการเดิมที่กำหนดให้เฉพาะบ้านราคาไม่เกิน ๓ ล้านบาท ยังพอเข้าใจได้ว่า วัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นนโยบายที่เอื้อให้ผู้ที่มีรายได้น้อย สามารถมีบ้านเป็นของตัวเองได้ง่ายขึ้น กลับกลายเป็นว่าในครั้งนี้วัตถุประสงค์หลักของการเปลี่ยนเงื่อนไข เอาผู้มีรายได้น้อยมาบังหน้า แต่เนื้อแท้กลับเอื้อให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีสต๊อกบ้านเหลือ ขายไม่ออก สามารถเร่งขายบ้านออกได้ง่ายขึ้น! นายวรภพ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สองคือ การลดค่าธรรมเนียมโอนอสังหากระทบงานบริการสาธารณะของท้องถิ่นโดยตรง เพราะค่าธรรมเนียมโอนเป็นแหล่งรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาล, อบต. และ กทม. ซึ่งมาตรการนี้จะทำให้รายได้ท้องถิ่นลดลงไปถึง ๒๓,๘๒๒ ล้านบาทต่อปี จากเดิมที่รายได้ท้องถิ่นมีน้อยนิดอยู่แล้ว รัฐบาลออกมาตรการนี้มาเป็นการซ้ำเติมเพราะกระทบรายได้ของท้องถิ่นโดยตรง แต่กลับไม่มาพร้อมกับการชดเชยรายได้ให้ท้องถิ่น สะท้อนแนวนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ที่ไม่ให้ความสำคัญกับท้องถิ่น ถ้าจะให้พูดตรงๆ วิธีคิดคล้ายกับรัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ อย่างกับลอกมาใช้แทนที่ท้องถิ่นจะมีรายได้มาพัฒนาสิ่งที่เป็นบริการอยู่ใกล้ตัวประชาชนมากที่สุด กลับถูกเอาไปให้รัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือ เอาทรัพยากรที่รีดมาจากรายได้ของท้องถิ่นให้กลายไปเป็นรายได้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เอาเงินที่จะใช้เพื่อทำบริการสาธารณะไปช่วยโละสต๊อกบ้านนายทุนอสังหาฯ เสียอย่างนั้น”สุดท้ายจะมีอะไรเหมาะเจาะไปกว่านี้ เพราะช่างเป็นเหตุบังเอิญที่ว่านายกรัฐมนตรีเศรษฐาก็ดันเคยเป็นอดีตผู้บริหารและเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศไทย และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ก็จะกลายเป็นผู้ได้ประโยชน์จากมาตรการเช่นนี้ จึงขอตั้งคำถามตัวโตๆ กับมาตรการของรัฐบาลนี้ว่า เป็นมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ช่วยให้คนรายได้น้อยมีบ้าน หรือเพื่อกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ให้โละบ้านค้างสต๊อกให้หมด” นายวรภพ กล่าว.