นักวิเคราะห์ความมั่นคงรัสเซีย ยังให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการตั้งคำถามของเสนาธิการชาติตะวันตกว่า กองทัพรัสเซียจะปฏิบัติการโจมตียูเครนครั้งใหญ่ในช่วงฤดูร้อนปีนี้หรือไม่ โดยมีมุมมองต่อจากบทความตอนที่แล้วว่า นอกจากกองทัพรัสเซียยังขาดประสบการณ์ด้านการเจาะทะลวงแนวป้องกันในสงครามยุคปัจจุบันแล้ว สิ่งที่ต้องมองอีกประการคือ ความพร้อมของหน่วยรบ และความจำเป็นที่ต้องบุกโจมตีการบุกยึดเมืองป้อมปราการ “อับดีเยฟกา” ของยูเครน ในจังหวัดโดเนตสก์ ทางกองทัพรัสเซีย ใช้เวลากว่า ๕ เดือน ถึงจะประสบความสำเร็จ แล้ว หากรัสเซียจะโจมตีเมือง “คาร์คิฟ” (รัสเซียเรียกคาร์คอฟ) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ ๒ ของยูเครน แล้วจะต้องใช้กำลังพลขนาดไหน และยุทธวิธีเช่นไร เป็นไปได้ว่าสเกลการรบจะต้องยิ่งใหญ่อลังการ และยากยิ่งนักที่รัสเซียจะโยกย้ายกำลังพลจากแนวรบอื่นมาใช้ดำเนินการในพื้นที่นี้หากสร้างหน่วยรบใหม่ทำได้หรือไม่? แน่นอนว่ากองทัพรัสเซียมีกำลังพลสำรองชุดใหม่มาเสริมทัพประมาณ ๑๕๐,๐๐๐-๑๗๐,๐๐๐ นาย แต่ตัวเลขนี้เป็นเพียงแค่ “จำนวนทหาร” ไม่ได้หมายความว่า จะนำไปรบได้เลย ต้องผ่านการฝึกซ้อม ติดอาวุธ บริหารจัดการโครงสร้างสายบัญชาการ จัดสรรยุทโธปกรณ์หนักต่างๆมาประจำการให้เหมาะสม และไม่แปลกที่นายเซอร์เก โชยกู รัฐมนตรีว่าการกลาโหมรัสเซีย จะให้ไทม์ไลน์ไว้ว่า รัสเซียจะมีกำลังเพิ่มอีก ๒ กองทัพ (ระดับใหญ่กว่ากองพล) ภายในสิ้นปี ๒๕๖๗ ซึ่งหมายความว่าต้องรอไปอีก ๘-๙ เดือนส่วนการบุกในช่วงฤดูร้อนจำเป็นหรือไม่? ต้องมาดูกันที่สถานการณ์การรบ ณ ตอนนี้ ที่การรุกคืบของรัสเซียเป็นไปอย่างช้าๆ มีการต่อสู้กัน ในระดับหมู่บ้านไปจนถึงระดับเมือง พร้อมมุ่งเน้น การโจมตีแนวป้องกันและแนวรบด้วย “ระเบิดร่อน” จากเครื่องบินรบ การติดปีกให้ระเบิดรุ่นเก่า เพื่อเพิ่มระยะโจมตี และทำให้ฝูงบินรัสเซียไม่ต้องเข้าไปเสี่ยงกับระบบต่อต้านอากาศยานของยูเครนการต่อสู้ในสนามรบเช่นนี้ เหล่าเสนาธิการกองทัพรัสเซียประเมินแล้วว่า ถึงจะไม่มีความคืบหน้าในเรื่องการชิงดินแดนแต่อัตราการสูญเสียกำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์ของยูเครน กำลังสูงขึ้นเรื่อยๆและมากกว่าอัตราการสูญเสียของกองทัพรัสเซีย ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป “สมดุลของกองทัพ” ก็จะยิ่งห่างชั้นกันอย่างเห็นได้ชัดในช่วงปลายปีนี้ ที่กองทัพใหม่ของรัสเซีย จะพร้อมรบเต็มอย่างกำลัง.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม
