นายกฯ มอบนโยบาย คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี หวังร่วมกันทุ่มเทแก้วิกฤติประเทศ วอน อย่าแบ่งพรรค ย้ำ ยังต้องร่วมทำงานอีก ๓ ปีครึ่ง เมื่อร่วมรัฐบาลกันแล้วขอลด barrier พูดคุยกันเมื่อเวลา ๐๙.๓๐ น. วันที่ ๒๑ ก.พ. ที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยเข้าร่วมจำนวน ๒๓ คน จาก ๓๐ คน นายกฯ กล่าวมอบนโยบายว่า ในโอกาสที่คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีซึ่งได้รับการแต่งตั้งในรัฐบาลปัจจุบันและได้มีการประชุมเป็นครั้งแรก ต้องขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญที่ต้องอาศัยความรู้ความสามารถ ทักษะความชำนาญ และประสบการณ์ในงานแขนงต่างๆ มาช่วยขับเคลื่อนงานสำคัญของรัฐบาลให้สัมฤทธิผลเป็นรูปธรรม ตนมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับทุกคนนายกฯ กล่าวว่า จากนโยบายคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ทุกคนทราบดีอยู่แล้วถึงความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤติที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ รวมทั้งความท้าทายที่สำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ปัญหาหลากหลายเป็นผลพวงมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และสถานการณ์สงคราม และความขัดแย้งระดับภูมิภาค ซึ่งล้วนแต่ซ้ำเติมให้วิกฤติเศรษฐกิจยืดเยื้อและขยายตัวเป็นวงกว้าง รัฐบาลได้มีนโยบายที่เป็นกรอบระยะสั้น มุ่งเน้นกระตุ้นการใช้จ่าย จุดเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ เร่งแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน ผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน นายกฯ กล่าวว่า ตนมีความคาดหวังว่า การที่ทุกคนมานั่งอยู่ตรงนี้ ทุกคนอยากจะฟื้นฟูปัญหาที่มีอยู่ขณะนี้ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสังคม การเมือง เศรษฐกิจ อยากให้ทุกคนทุ่มเทและมีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนอาจมีความสนิทคุ้นเคยกันก็พบปะพูดคุยกัน หรือถ้าไม่คุ้นเคยก็นัดกินข้าวกัน ตนเชื่อว่าการที่เราจะขับเคลื่อนในหลายๆ เรื่อง ไม่ใช่บางคนมาจากแต่ละพรรค แต่วันนี้ตนเชื่อว่า เราไม่ได้มาต่างพรรค แต่เรามาร่วมรัฐบาลเดียวกัน ขอความกรุณาเลยอย่าบอกว่ามาจากพรรคนั้นพรรคนี้ แต่เรามาร่วมรัฐบาลเดียวกัน บางคนก็มีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่รุ่นก่อน รู้จักกันตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณปู่ และอาจจะเคยอยู่พรรคเดียวกันมา อย่ามองว่ามาคนละพรรค หรือเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ซึ่งแต่ละกระทรวงบางกระทรวงก็มีความเหลื่อมล้ำกันในแง่ขอบเขตงานที่ต้องทำ “เพราะฉะนั้นการที่เรามาพบกันอย่างไม่เป็นทางการ หลายเรื่องน่าจะช่วยเหลือกันได้ อย่างเช่น กรณีของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีพื้นที่และสิ่งที่ล้ำกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่มาก รวมถึงกระทรวงพลังงานก็มี หรือต่างพรรคกัน ซึ่งตรงนี้อยากให้มีการพูดคุยกันเพื่อลด barrier (สิ่งกีดขวาง) ลงไปหน่อยจะได้พูดคุยกันได้ พูดคุยกันดีกว่า เพราะเราต้องทำงานอีก ๓ ปีครึ่ง เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน พอที่จะช่วยกันได้ หรือโยกย้ายก็มีการพูดคุยกันได้ จึงอยากฝากไว้ เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง” นายเศรษฐา กล่าว…
